








|
ตั้งครรภ์/คลอดบุตร >
(GIFT : Gamete Intra-Fallopian Transfer)
การนำเซลล์สืบพันธุ์ไปใส่ไว้ที่ท่อนำไข่ หรือที่รู้จักแพร่หลายโดยทั่วไปว่า กิฟท์ (GIFT) หมายถึง
การนำเอาไข่และตัวอสุจิไปใส่ไว้ที่ท่อนำไข่เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิหรือรวมตัวกันตามธรรมชาติ
เป็นวิธีการรักษาคู่สมรสที่มีบุตรยากวิธีหนึ่ง การรักษาคู่สมรสที่มีบุตรยากด้วยกิฟท์นั้นจะกระทำ
ต่อเมื่อได้ทำการตรวจหาสาเหตุของการมีบุตรยากและทำการรักษาด้วยวิธีธรรมดาแล้วไม่ได้ผล
เพราะการรักษาวิธีนี้ค่อนข้างสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและเวลาต่างๆ สำหรับการรักษามาก
นอกจากนั้น ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการรักษาได้อีกด้วยแม้ว่าจะเป็นส่วนน้อยก็ตาม
หลักของการรักษาวิธีนี้ คือนำไข่และอสุจิมารวมกัน และฉีดเข้าท่อนำไข่ โดยผ่านทางปลายของท่อให้มีการปฏิสนธิ การแบ่งตัวของตัวอ่อนและการฝังตัวเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว หรือการปฏิสนธินอกร่างกายและการย้ายฝากตัวอ่อน ซึ่งมีการผสมระหว่างไข่และอสุจิ ตลอดจนการแบ่งตัวของตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการ แล้วจึงนำตัวอ่อนไปใส่ไว้ในโพรงมดลูก
ในทางเทคนิค ขั้นตอนใหญ่ๆ ของการทำกิฟท์ แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
- การนำไข่ออกมาจากรังไข่
- การเตรียมอสุจิ
- การนำไข่และอสุจิมาใส่ไว้ที่ท่อนำไข่
1. การนำไข่ออกมาจากรังไข่
ตามธรรมชาติ รังไข่ประกอบด้วยไข่เล็กๆ เป็นจำนวนมากมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ไข่เป็นเซลล์เล็กๆ เจริญเติบโตภายในถุงรังไข่ ในแต่ละรอบเดือนจะมีฮอร์โมนจากสมองมากระตุ้นให้ถุงไข่เจริญเติบโต ระหว่างการเจริญเติบโตนี้ นอกจากถุงไข่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว ยังมีการหลั่งฮอร์โมนเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เอสโตรเจนหรือเอสตราไดออล ถุงไข่จะเจริญเติบโตเต็มที่ก่อนไข่ตก เมื่อถึงเวลาไข่ตก ถุงไข่จะแตกออก ไข่จะหลุดจากถุงไข่และรังไข่เข้าสู่ท่อนำไข่ ปกติแล้วจะมีถุงไข่เพียงถุงเดียวเท่านั้นที่จะเจริญเติบโตเต็มที่จนถึงระยะไข่ตก การเจริญเติบโตของถุงไข่นี้สามารถตรวจสอบได้โดยการวัดขนาดถุงไข่ด้วยเครื่องตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงหรืออัลตร้าซาวด์ การตรวจเลือดหรือปัสสาวะเพื่อหาปริมาณของเอสโตรเจน หรือตรวจดูผลการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่างๆ ที่มีผลมาจากเอสโตรเจน เช่นการตรวจดูมูกบริเวณปากมดลูกเป็นต้น
การกระตุ้นรังไข่
จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า การที่จะสามารถนำไข่ออกมาจากถุงไข่ได้ดีนั้น ต้องมีการกระตุ้นให้ถุงไข่เจริญเติบโตหลายถุง ซึ่งจะทำให้เก็บไข่ได้หลายใบ ที่สำคัญ คือ การนำไข่หลายใบรวมกับอสุจิไปใส่ไว้ในท่อนำไข่ จะทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์สูงกว่าการใส่ไว้เพียงใบเดียว ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องให้ยากระตุ้นถุงไข่ให้เจริญเติบโตหลายถุง โดยอาจเป็นยาชนิดรับประทาน ยาฉีด ยาพ่นเข้าจมูก และอื่นๆ ทั้งแพทย์จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป ระยะที่ให้ยากระตุ้นรังไข่นั้น ส่วนมากนานประมาณ 7 ถึง 10 วัน
การตรวจดูการเจริญเติบโตของถุงไข่
ระหว่างการให้ยาจะมีการตรวจสอบดูว่า ถุงไข่มีการเจริญเติบโตหรือไม่ วิธีที่นิยมปัจจุบันนี้คือ การตรวจอัลตร้าซาวด์ และการวัดระดับเอสโตรเจนและฮอร์โมนอื่นในเลือด ในบางขณะการตรวจนี้ต้องกระทำติดต่อกันทุกวัน หากพบว่าการเจริญเติบโตของถุงไข่ไม่ดีเท่าที่ควร ต้องเพิ่มขนาดยาที่ไปกระตุ้นรังไข่ และหากพบว่ารังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป อาจต้องลดขนาดของยาหรือยกเลิกการรักษาถ้าพบว่าจะเกิดอันตราย การตรวจดูอัลตร้าซาด์สำหรับดูการเจริญเติบโตของถุงไข่ ปัจจุบันนิยมทำโดยการตรวจทางช่องคลอด โดยแพทย์จะสอดเครื่องมือเล็กๆ ผ่านทางช่องคลอดเข้าไป ซึ่งมักไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดแต่อย่างใด
การฉีดยาเอช ซี จี
เมื่อถุงไข่เจริญ แพทย์จะฉีดยาเอชซีจี เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่ขั้นสุดท้าย และกำหนดระยะเวลาที่ไข่ตก โดยทั่วไปหลังการฉีดยานี้ ไข่จะตกภายในเวลาประมาณ 36 ถึง 40 ชั่วโมง แพทย์จะทำการกำหนดระยะเวลาฉีดยาให้ผู้ป่วยแต่ละรายตามความเหมาะสม ซึ่งจะพิจารณาจากเวลาที่ทำการเก็บไข่ ส่วนมากต้องฉีดยานี้ตอนกลางคืน ระหว่างเวลาประมาณ 20.00 - 24.00 น.
การเก็บไข่
แพทย์จะนัดผู้ป่วยมาทำการเก็บไข่ภายในเวลา 34 - 38 ชั่วโมงหลังจากฉีดเอชซีจี ระยะเวลานี้มีความสำคัญมาก หากทำการเก็บไข่ช้าเกินไปอาจมีการตกไข่เกิดขึ้นก่อน ทำให้ไม่สามารถเก็บไข่ได้ หือหากเร็วเกินไปอาจเก็บได้ไข่ที่ยังไม่สมบูรณ์พอ ทำให้โอกาสตั้งครรภ์ลดลง วิธีการเก็บไข่ ทำได้โดยใช้เข็มเจาะถุงไข่แล้วดูดเอาไข่ภายในถุงออกมา วิธีที่นิยมในปัจจุบันมี 2 วิธีคือ
- การเจาะผ่านผนังช่องคลอด โดยอาศัยเครื่องอัลตร้าซาวด์ ที่มีหัวตรวจทางช่องคลอด ซึ่งมีเข็มเจาะและดูดไข่ติดอยู่ ระหว่างการทำแพทย์จะใช้ยาระงับความเจ็บปวด หรือให้ยาชาเฉพาะที่
- การเจาะผ่านทางผนังหน้าท้อง โดยวิธีนี้ต้องอาศัยกล้องตรวจช่องท้อง แพทย์จะเห็นรังไข่ชัดเจน แล้วใช้เข็มเจาะดูดไข่โดยตรง ซึ่งระหว่างการทำแพทย์จะให้ยาระงับความเจ็บปวด หรือให้ยาชาเฉพาะที่ หรือในบางรายอาจต้องวางยาสลบ
เมื่อแพทย์เจาะถุงไข่และดูดน้ำในถุงไข่ออกแล้ว จะส่งไปตรวจหาไข่ทันที จากนั้นจะเก็บไข่ไว้ในน้ำยาที่เหมาะสม โดยทั่วไปโอกาสที่จะเก็บไข่ได้ในแต่ละรอบรักษาจะมีประมาณร้อยละ 90
2. การเตรียมอสุจิ
การเก็บอสุจินั้น ฝ่ายชายจะต้องนำอสุจิมาส่งในวันที่ทำกิฟท์ตามที่แพทย์นัดหมาย สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ
- การรักษาความสะอาดของอวัยวะเพศให้ปราศจากการอักเสบติดเชื้อใดๆ
- ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการเก็บอสุจิเป็นเวลาอย่างน้อย 2 วัน
- ทำการเก็บอสุจิด้วยตนเอง โดยก่อนทำต้องล้างมือให้สะอาด ห้ามใช้วิธีร่วมเพศแล้วมาหลั่งภายนอก หรือใช้ถุงยางอนามัย
- บรรจุอสุจิลงในภาชนะสะอาดที่ปราศจากเชื้อ ซึ่งทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้
- นำส่งห้องปฏิบัติการ ตามเวลานัดหมาย
การคัดแยกอสุจิ
เนื่องจากในการทำกิฟท์นั้น จะใช้เฉพาะตัวอสุจิที่ปกติและเคลื่อนไหวได้ดี ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องทำการคัดแยกอสุจิและนำเฉพาะตัวอสุจิที่มีชีวิต และเคลื่อนไหวได้ดีมาใส่ไว้ในน้ำยาที่เหมาะสม การนำไปใส่ไว้ในท่อนำไข่แต่ละครั้งจะใช้อสุจิประมาณ 100,000 ตัว
3. การนำไข่และอสุจิไปใส่ไว้ที่ท่อนำไข่
วิธีการนำไข่และอสุจิไปใส่ไว้ในท่อนำไข่มีหลายวิธี ได้แก่
- การใช้กล้องตรวจช่องท้องเช่นเดียวกับที่ทำการเก็บไข่ โดยแพทย์สอดเครื่องมือสำหรับจับท่อนำไข่และใช้ท่อเล็กๆ เจาะผนังหน้าท้องแล้วสอดสายสวนเข้าไปจนถึงท่อนำไข่ จากนั้น ทำการดูดไข่ และอสุจิบรรจุในสายเล็กๆ สอดเข้าไปตามสายสวนจนถึงท่อนำไข่ แล้วทำการฉีดไข่และอสุจิเข้าไป ระหว่างการทำ แพทย์จะให้ยาระงับความเจ็บปวดหรือให้ยาสลบ วิธีนี้เป็นที่นิยมปฏิบัติกันมากที่สุดในปัจจุบัน ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที
- การผ่าตัดบริเวณหน้าท้องเหนือหัวหน่าว โดยทำการผ่าตัดเล็กๆ เข้าช่องท้อง และนำท่อนำไข่ขึ้นมา จากนั้นจึงฉีดไข่และอสุจิที่เตรียมไว้เข้าท่อนำไข่โดยตรง วิธีนี้ในปัจจุบันนิยมทำลดลง เนื่องจากต้องมีแผลผ่าตัดกว้างวิธีแรก และอาจทำให้มีพังผืดบริเวณอุ้งเชิงกราน นอกจากนี้การทำซ้ำภายหลังหากการทำครั้งแรกไม่สำเร็จจะทำได้ยากขึ้น
- การสวนท่อผ่านทางปากมดลูกเข้าไปในโพรงมดลูก และเข้าสู่ท่อนำไข่ โดยอาศัยอัลตร้าซาด์ หรือเครื่องมือตรวจโพรงมดลูก วิธีนี้กำลังอยู่ในระยะการศึกษาวิจัย
back
การปฏิบัติตัวภายหลังการทำกิฟท์ |
- ควรงดเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 สัปดาห์ภายหลังการทำ
- ควรพักผ่อน 1 - 2 วัน จากนั้นสามารถทำงานได้ตามปกติ แต่ควรงดการทำงานหนักและการออกกำลังกายที่หักโหม
- แพทย์จะให้ยาเพื่อช่วยในการฝังตัวของตัวอ่อน ซึ่งอาจเป็นชนิดรับประทานหรือสอดในช่องคลอด
- ภายหลังการทำกิฟท์ประมาณ 10 - 14 วัน จะสามารถตรวจเลือดดูว่า มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นหรือไม่
- ในกรณีที่ไม่ประสบผลสำเร็จ จะมีประจำเดือนมาตามปกติ และหากต้องการทำซ้ำ ควรรอเวลาประมาณ 2 - 3 เดือน เพื่อให้รังไข่และระบบต่างๆ ของร่างกายกลับสู่ปกติก่อน
back
โอกาสการตั้งครรภ์จากการรักษาด้วยวิธีนี้แตกต่างกันไปในแต่ละสถาบันขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง ที่สำคัญได้แก่ ข้อชี้บ่งของการทำกิฟท์ อายุของคู่สมรส โดยเฉพาะฝ่ายหญิง เทคนิคการทำ และอื่นๆ
โดยทั่วไปการทำกิฟท์แต่ละรอบ จะมีโอกาสตั้งครรภ์ประมาณร้อยละ 20 - 30 อย่างไรก็ดี ในจำนวนผู้ที่ตั้งครรภ์เหล่านี้ จะมีโอกาสแท้งบุตรประมาณร้อยละ 20 ครรภ์แฝดร้อยละ 30 และครรภ์นอกมดลูกร้อยละ 5 - 10 จากข้อมูลจนถึงปัจจุบัน ทารกที่เกิดมามีโอกาสเกิดความพิการไม่แตกต่างกับการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ และการพัฒนาของเด็กก็เป็นไปตามปกติ
back
คู่สมรสที่เหมาะสมต่อการรักษาด้วยกิฟท์ |
มีการศึกษาถึงการทำกิฟท์ในคู่สมรส ที่มีสาเหตุของการมีบุตรยากต่างๆ กัน ได้แก่
- การมีบุตรยากที่หาสาเหตุไม่พบ
- ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- ความผิดปกติที่ปากมดลูก
- เชื้ออสุจิน้อย
- ในกรณีที่มีการบริจาคไข่
การรักษาบางกรณีจะได้ผลดี เช่น กรณีของการมีบุตรยากโดยตรวจไม่พบความผิดปกติ ส่วนกรณีก็ได้ผลน้อย เช่น การมีเชื้ออสุจิน้อย เป็นต้น ผู้ที่เหมาะสมที่จะรักษาด้วยกิฟท์ จะต้องมีท่อนำไข่ที่ปกติอย่างน้อยหนึ่งข้างและมีโพรงมดลูกที่ปกติ ซึ่งจะทราบได้โดยการตรวจเอกซ์เรย์ภายหลังจากการฉีดสีเข้าโพรงมดลูก และที่สำคัญอีกอย่างคือ ฝ่ายหญิงที่มารับบริการควรมีอายุไม่เกิน 40 ปี หากมากกว่านี้ การรักษามักไม่ได้ผล พึงระลึกไว้เสมอว่า การรักษาด้วยกิฟท์นี้ ควรกระทำต่อเมื่อการรักษาด้วยวิธีธรรมดาไม่ได้ผลแล้ว ซึ่งอาจทำให้คู่สมรสสามารถตั้งครรภ์ได้ด้วยวิธีง่ายๆ ปลอดภัย และประหยัด
back
ในทางปฏิบัติ สามารถแบ่งขั้นตอนของการทำกิฟท์ให้ละเอียดดีขึ้นได้ ดังนี้
- ทำการศึกษาและสอบถามให้เข้าใจเกี่ยวกับการทำกิฟท์
โดยศึกษาจากเอกสาร หนังสือต่างๆ หรือสอบถามจากแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้อง
- การตรวจและทดสอบก่อนการทำกิฟท์
โดยแพทย์จะทำการตรวจสอบว่าเหมาะสมต่อการรักษาด้วยวธีนี้หรือไม่ และจะเริ่มทำเมื่อไหร่
- การกระตุ้นรังไข่
โดยแพทย์จะให้ยาซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย
- การติดตามการเจิรญเติบโตของถุงไข่
โดยการตรวจอัลตร้าซาวด์ การตรวจเลือดหาระดับฮอร์โมน และอื่นๆ
- การฉีดยาให้ไข่สุกเต็มที่ และการกำหนดเวลาเก็บไข่
โดยฉีดยาเอชซีจี เมื่อถุงไข่เจริญเต็มที่
- การเก็บไข่
โดยทำการเก็บไข่ประมาณ 34 - 38 ชั่วโมงหลังไข่ตก
- การเตรียมอสุจิ
โดยนำอสุจิส่งห้องปฏิบัติการ ก่อนเก็บไข่ 2 ชั่วโมง เพื่อทำการคัดแยกอสุจิ
- การนำไข่และอสุจิไปใส่ไว้ในท่อนำไข่
โดยนำไข่และอสุจิใส่ในท่อนำไข่ โดยผ่านทางท่อที่เจาะผ่านผนังหน้าท้อง
- การให้ฮอร์โมนในระยะหลังการทำกิฟท์
โดยแพทย์จะให้ฮอร์โมนช่วยในการฝังตัวของตัวอ่อน
- การทดสอบการตั้งครรภ์
โดยสามารถตรวจดูการตั้งครรภ์โดยหาฮอร์โมนในเลือด ประมาณ 12 วันหลังจากการทำกิฟท์ เมื่อมีการตั้งครรภ์ประมาณ 6 - 8 สัปดาห์ แพทย์จะตรวจอัลตร้าซาด์เพื่อดูว่า มีการเจริญเติบโตของทารกหรือไม่ และเป็นครรภ์แฝดหรือไม่
จะเห็นได้ว่า การทำกิฟท์มีหลายขั้นตอน ผู้ป่วยต้องเสียเวบาเดินทางมาฉีดยากระตุ้นรังไข่ และตรวจดูการเจริญเติบโตของถุงไข่ มีการตรวจเลือดและอัลตร้าซาด์บ่อยครั้ง มีการผ่าตัดและอื่นๆ ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการรักษาด้วยวิธีนี้ค่อนข้างสูง
back
ภาวะแทรกซ้อนของการทำกิฟท์ที่อาจเกิดขึ้น |
- การฉีดยาและการเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับฮอร์โมน ซึ่งต้องทำหลายครั้ง อาจทำให้ผู้รับบริการมีอาการเจ็บเล็กน้อย และอาจมีอาการฟกช้ำตรงตำแหน่งที่ฉีดยาและเจาะเลือดได้
- ผลของยา ยาที่ใช้กระตุ้นรังไข่ ไม่เคยมีรายงานว่าก่อให้เกิดอาการแพ้ยา อย่างไรก็ดี บางครั้งรังไข่อาจถูกกระตุ้นมากเกินไป ทำให้รังไข่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาก ผู้รบบริการอาจมีอาการเจ็บและถ่วงบริเวณท้องน้อยบ้าง บางกรณีซึ่งพบได้น้อยมาก อาจทำให้ผู้รับบริการต้องพักสังเกตอาการภายในโรงพยาบาล
- การเก็บไข่ ผู้รับบริการ อาจมีอาการเจ็บปวดบ้าง แต่มักจะไม่มากนัก ส่วนอาการอักเสบของอุ้งเชิงกรานและอันตรายจากเข็มเจาะต่ออวัยวะภายในช่องท้องพบได้น้อยมาก
- การนำไข่และอสุจิไปใส่ไว้ในช่องท้อง ผู้รับบริการอาจมีอาการเจ็บบาดแผลเช่นเดียวกับการผ่าตัดเล็กทั่วไป ระหว่างการทำแพทย์จะให้ยาแก้ปวดหรือยาสลบ ภายหลังการทำ ผู้ป่วยบางรายจะรู้สึกอึดอัดและมีอากาแน่นท้อง อาการเหล่านี้มักจะหายไปภายใน 2 - 3 วัน
ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการรักษา
- รังไข่ตอบสนองต่อยาไม่ดีพอ ในบางรายแม้ว่าเพิ่มขนาดยามากแล้ว การเจริญของถุงไข่ก็ยังไม่ดี เป็นเหตุให้ต้องยกเลิกการรักษาในรอบนั้น
- รังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ยามากเกินไป หรือผู้รับบริการรายนั้นมีความไวต่อยามากเป็นพิเศษ ในกรณีดังกล่าว แพทย์อาจลดขนาดยาหรือยกเลิกการรักษาในรอบนั้น หากพบว่า จะก่อให้เกิดอันตรายต่อคนไข้ได้
- เก็บไข่ไม่ได้ ในปัจจุบันวิธีการเก็บไข่ได้พัฒนาดีขึ้นมาก สามารถเก็บไข่ได้ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี มีบางกรณีที่ไม่สามารถเก็บไข่ได้ ซึ่งมักจะเป็นจากการที่กรุต้นรังไข่ได้ไม่ดีพอ
- ไข่ที่เก็บได้ไม่สมบูรณ์ การกระตุ้นไข่และเวลาที่ทำการเก็บไข่ มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในบางครั้งไข่ที่เก็บมาได้อาจอ่อนเกินไป หรือสุกเกินไป ซึ่งทำให้ผลสำเร็จของการรักษาลดลง
- ปัญหาเกี่ยวกับอสุจิ ในบางกรณีผู้รับบริการอาจมีปัญหาในการเก็บอสุจิ บางรายเกิดความเครียด ตื่นเต้น หรือวิตกกังวล นอกจากนั้นอสุจิที่เก็บมาได้ในวันนั้น อาจมีปริมาณน้อยและไม่แข็งแรงพอ แม้ว่าผลการตรวจอสุจิก่อนหน้านั้น จะอยู่ในเกณฑ์ปกติก็ตาม
- ไม่สามารถนำไข่และอสุจิไปใส่ในท่อนำไข่ได้ กรณีนี้อาจเกิดจากการที่มีพังผืดจำนวนมากในอุ้งเชิงกราน ซึ่งควรพิจารณาเปลี่ยนวิธีการรักษา
- ไข่และอสุจิอาจไม่ผสมกัน ในกรณีนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้จากการทำกิฟท์ เนื่องจากเป็นวิธีที่นำไข่และอสุจิไปใส่ไว้ในท่อนำไข่ และปล่อยให้มีการผสมรวมตัวกันตามธรรมชาติ ไข่และอสุจิที่พบกันอาจไม่มีการผสมกันก็ได้ด้วยสาเหตุตางๆ กัน เช่น อสุจิไม่แข็งแรงพอที่จะเจาะผ่านเปลือกไข่เข้าไป หรือเกิดภูมิต้านทานระหว่างไข่และอสุจิ เป็นต้น
- อาจไม่มีการฝังตัวของตัวอ่อน แม้ว่าไข่และอสุจิจะมีการผสมกัน แต่อาจเกิดปัญการะหว่างการฝังตัวของตัวอ่อนทำให้ไม่เกิดการตั้งครรภ์
- อาจเกิดการแท้ง เมื่อมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ผู้รับบริการจะมีโอกาสแท้งบุตรได้สูงกว่าคนทั่วไปบ้างเล็กน้อยดังกล่าวข้างต้น
สรุปแล้วการนำไข่และอสุจิไปใส่ไว้ที่ท่อนำไข่หรือกิฟท์นั้น เป็นวิธีหนึ่งในการรักษาคู่สมรสที่มีบุตรยาก วิธีนี้เหมาะ สำหรับคู่สมรสบางรายเท่านั้น ไม่ใช่ทุกรายดังกล่าวแล้วว่าขั้นตอนต่างๆ ของการทำกิฟท์นั้น มีมากมาย ต้องอาศัยคณะผู้ทำการรักษาที่มีการประสานงานกันอย่างดี ได้แก่ แพทย์ พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่อื่นๆ การรักษาวิธีนี้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากพอสมควร นอกจากนี้ในแต่ละขั้นตอนของการรักษาอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและปัญหาดังกล่าวข้างต้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะก่อให้คู่สมรสเกิดความผิดหวัง เสียใจ เครียด หงุดหงิด ซึ่งบางครั้งอาจมีผลเสียต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว ตลอดจนภารกิจประจำวันได้ ในการที่จะลดผลกระทบทางจิตใจเหล่านี้ตลอดจนทำให้การปฏิบัติตนในกรณีที่การรักษาไม่ได้ผลเป็นไปด้วยดี จึงจำเป็นที่คู่สมรสต้องทำความเข้าใจขั้นตอนต่างๆ และผลของการรักษาวิธีนี้เป็นอย่างดี และต้องเตรียมกายเตรียมใจให้พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาต่างๆและความล้มเหลวของการรักษาที่อาจเกิดขึ้นได้ คู่สามีภรรยาและผู้เกี่ยวข้องควรให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และหาหนทางที่เหมาะสมแก้ไขปัญหาต่างๆ ดังกล่าว
back
ข้อมูล: จากเอกสารเผยแพร่ความรู้ทางสุขภาพ "การรักษาภาวะมีบุตรยาก กิฟ: การนำเซลล์สืบพันธุ์ไปใส่ที่ท่อนำไข่" โครงการชีววิทยาการเจริญพันธุ์คลินิก ภาควิชาสูติศาสตร์ - นรีเวชวิทยา และศูนย์วิจัย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
|
|
|