Poj
visit our sponsor
visit our sponsor

Ploy













คุยกับคุณลุงใหญ่
ผศ.ดร.จำรูญOnline


      ผศ.ดร.จำรูญ พริกบุญจันทร์     อดีตรองอธิการสถาบันราชภัฏเพชรบุรี วิทยา ลงกรณ์, ปัจจุบัน: ผู้อำนวยการโรงเรียนอุดมศาสตร์พัฒนา, การศึกษา: กศ.บ., น.บ.และ Ed.D ปริญญาเอก ด้านการศึกษา (Curriculum & Instruction) จาก West Virginia University at Morgan Town, USA ขอเชิญถามเกี่ยวกับข้อคิดเห็นในด้านการศึกษา, การเรียนการสอนในเด็กเล็กและเด็กโต, พฤติกรรมการเรียนของเด็กๆ รวมทั้งปัญหาต่างๆ ในการไปโรงเรียนของเด็กๆ


เชิญส่งคำถามมาได้ที่ maeaom@hotmail.com


ไปหัวข้อคำถามหน้าที่ 1   ,   2

ลูกเรียนประถม 5 ไม่มีความสุขกับการไป โรงเรียน
เลือกเนอร์สเซอรี่ให้ลูก แบบไหนดีคะ?
"ควรให้ลูกไปโรงเรียนต่อหรือไม่คะ"
"กิจกรรมและการเรียนเสริมหลักสูตร ของลูกมากเกินไปหรือไม่คะ"
"ลูกอายุ 2 ขวบควรให้เข้าเตรียมอนุ บาลดีมั้ย?"
"สงสารลูกเพิ่งเข้าป. 1 ที่โรงเรียนใหม่"
"EQ คืออะไรครับ?"

การได้รับของเล่นจากคุณปู่คุณย่า บ่อยๆ
"ลูกเขียนหนังสือทั้งมือซ้ายและมือ ขวา ทำอย่างไรดี?"
"อยากจะถามถึงความพร้อมของ เด็กเริ่มหัดเขียนหนังสือ"
"ทำไมผลการเรียนของหลานจึง ขึ้นๆ ลงๆคะ"
"ลูกเป็นเด็กสมาธิสั้นรึเปล่าคะ?"
" คุณน้าเจ้าปัญหา"
คำถามอื่นๆ


การได้รับของเล่นจากคุณปู่คุณย่าบ่อยๆ


เรียนคุณลุงใหญ่

ลูกเป็นหลานคนแรกค่ะ คุณปู่คุณย่าก็เลยยังเห่อมาก ตอนนี้อายุ 7 เดือนแล้ว ค่ะ ปกติช่วงกลางวันจะไปฝากเลี้ยงที่เนอร์สเซอรี่ ส่วนกลางคืนและวันหยุด ก็จะเลี้ยงเองค่ะ ก็เลยไม่ค่อยจะได้พบกับคุณปู่คุณย่าบ่อยนัก ดังนั้น เวลาที่พา ไปเยี่ยมก็จะซื้อเสื้อผ้าหรือของเล่นให้ทุกครั้ง คุณแม่ก็เลยเป็นห่วงว่าลูกจะ ติดเป็นนิสัย ว่าจะต้องได้ของเล่นหรือมีของแลกเปลี่ยนตลอด หรือถ้าขอคุณ พ่อคุณแม่ไม่ได้ก็ไปขอคุณปู่คุณย่าแทน ตอนนี้ลูกยังเล็กก็คงไม่เป็นไร แต่เป็นห่วงว่าโตขึ้นแล้วจะเป็นน่ะค่ะ คุณลุงคิดว่าจะเป็นปัญหามั้ยคะ ถ้าเป็นไม่ทราบว่าจะสอนลูกอย่างไรดีค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
คุณแม่มือใหม่


ตอบคุณแม่มือใหม่

จากใจความที่เล่ามา ถ้าคิดโดยทั่วไปแล้ว ไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่คุณแม่เป็น คนละเอียด ลึกซึ้ง ก็คิดว่า อาจจะเป็นปัญหาอยู่บ้าง โดยเฉพาะที่ว่า น่าจะติด เป็นนิสัยต่อไป

ไม่เป็นไรครับ พฤติกรรมไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ อาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ สังเกตดูตัวเราเอง สมัยหนึ่งอาจจะมีนิสัยอย่างหนึ่ง เมื่อผ่านพ้นวัยเด็กๆ ไปแล้ว พฤติกรรมนั้นๆ ก็เปลี่ยนไป หรือหยุด, เลิกไปเลยก็มี ไม่แน่หรอก ครับ

หนทางที่ดีก็คือ การอบรม สั่งสอน ส่วนเด็กเล็กๆ นั้น ยังไม่ค่อยรู้อะไรมาก มายนัก การแก้ไขพฤติกรรมใดๆ ทำได้ง่าย ซึ่ง ก็คือ คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง จำเป็นต้องร่วมมือกัน

ทีนี้ ควรจะมองโลกในแง่ดีด้วย หลาน (คนแรกๆ ก็อย่างนี้) ย่อมเป็นที่รัก ใคร่ของคนในครอบครัว คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย ก็อยากจะอุ้ม อยากจะจับ อยากจะเอาใจ เมื่อรู้ว่าหลานอยากได้อะไร ขออะไร ก็อยากจะให้หมด หลานไม่ขอ ก็ยังอยากจะนำมาให้ ทั้งนี้ เพราะความรัก จึงไม่ควรขัดขวาง การให้ของท่าน เพราะเป็นความสุขของท่านด้วย และคุณแม่ก็ควรจะนำลูก ๆ ไปให้ท่านได้เชยชมเป็นประจำ จะได้ทั้งความสุขและได้บุญ

ขอให้ครอบครัวของคุณแม่เป็นครอบครัวที่มีความสุขตลอดไปครับ

อ.จำรูญ


back
+++++++++++++++++++++


ลูกเรียนประถม 5 ไม่มีความสุขกับการไปโรงเรียน


ขอรบกวนปรึกษาคุณลุงใหญ่ ดังนี้ค่ะ

ลูกชายอายุ 10 ปีกว่าๆ อยู่ชั้น ป. 5 บ่นให้ฟังเป็นระยะ ๆ ว่าเบื่อไม่อยากไป โรงเรียน มาปีนี้ขึ้น ป. 5 บ่นให้ฟังบ่อยมากขึ้น จึงสอบถามได้ความ (เหมือน ที่เคยถามทุกครั้งที่แกบ่นว่าเบื่อ) ว่า เบื่อที่จะต้องนั่งในห้องสี่เหลี่ยมทั้งวัน เบื่อที่จะต้องทนฟังครูพูดในสิ่งที่ไม่อยากเรียน เบื่อครูจู้จี้เจ้าระเบียบ ผิด นิดหน่อยก็ตี บางทีเพื่อนคุย ก็ทำโทษหมดทั้งห้อง เบื่อชีวิตที่รีบเร่งทุก ๆ เช้า อยู่โรงเรียนก็เดินแทบจะบินเพื่อให้ทันเวลาไปหมด อยากมีชีวิตที่สบาย ๆ ไม่ต้องรีบเร่งขนาดนี้ ฯลฯ เท่าที่ดิฉันประเมินได้คือ แกดูเหมือนจะไม่มีความ สุขกับการไปโรงเรียนซะเลย แต่แกเคยบอกว่า ไม่ใช่ไม่อยากเรียนหนังสือ แต่ไม่ชอบแบบที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ข้อมูลของเด็ก เป็นเด็กซน พูดคุยเก่ง อยู่ไม่นิ่ง ดูเหมือนจะเป็นสมาธิสั้น (โดยความเห็นของจิตแพทย์ ประเมินแกจากการพูดคุย สังเกต แต่ไม่ได้ ทำการทดสอบกับนักจิตวิทยาแต่ประการใด เคยทานยาอยู่ประมาณ 6 เดือน ขณะนี้ดิฉันให้หยุดยาเพราะไม่ค่อยแน่ใจว่าแกจะสมาธิสั้นจริง เพียงแต่ว่า แกจะไม่ทำในสิ่งที่แกไม่ชอบหรือไม่อยากทำ หรือบางครั้งชอบทำแต่ต้องขึ้น อยู่กับอารมณ์) อ่านหนังสือได้แคล่วคล่อง และอ่านหนังสือของผู้ใหญ่ได้ถ้า แกติดใจเล่มไหนเป็นพิเศษ เช่น สามก๊ก เพชรพระอุมา ฯลฯ สนใจชีวิต สัตว์ต่าง ๆ เป็นพิเศษ สนใจถาม หาข้อมูลจากหนังสือที่ดิฉันซื้อให้ มีความ รู้รอบตัวค่อนข้างดี ใช้คำพูดแบบผู้ใหญ่ได้ดีมาก อุปนิสัย บางครั้งดูเหมือน จะอ่อนโยน แต่บางครั้งก็ดูก้าวร้าว (แกล้งสัตว์เลี้ยง) นิสัยนักเลง ไม่ยอมคน อดทนต่อความเจ็บปวดได้ดี (ไม่ค่อยร้องไห้แม้จะหกล้มจนหัวแตก) บางครั้ง ชอบเล่นกับเพื่อนแรง ๆ (เช่นมวยปล้ำ) แกตัวโตและแข็งแรงมาก

ปัญหา ดิฉันทุกข์ใจมากที่เห็นว่าลูกไม่มีความสุขกับการไปโรงเรียน และ กังวลว่าแกคงจะเรียนไม่ได้ดี ยิ่งโตขึ้น แกอาจจะยิ่งแย่ลง เพราะไปโรงเรียน แบบจำใจและซังกะตายเรียนไปวัน ๆ ทั้ง ๆ ที่แกน่าจะเป็นเด็กที่เรียนรู้ อะไร ๆ ได้ดีทีเดียว ดิฉันจะทำอย่างไรกับลูกดีคะ ระหว่าง

1) ปลอบใจแก ไม่ซีเรียสกับเรื่องเรียน แต่ยังคงให้แกเรียนที่โรงเรียน เดิมต่อไป หรือ

2) หาโรงเรียนใหม่ให้แก เลือกโรงเรียนที่สอนในแนววอลล์ดอร์ฟ ซึ่งดิฉัน คงต้องขอความอนุเคราะห์แนะนำชื่อโรงเรียนให้ด้วย และไม่ทราบว่าจะช้า เกินไปหรือไม่ที่จะให้แกย้ายโรงเรียนเนื่องจากแกอยู่ ป. 5 แล้ว

3) คุณลุงใหญ่คิดว่าลูกดิฉันผิดปกติกว่าเด็กคนอื่นหรือไม่ หลาน ๆ ดิฉันเรียน ที่เดียวกับแก เรียนเข้มข้นกว่าแกก็มี ไม่เคยได้ยินใครบ่นเบื่อโรงเรียนเลยค่ะ

4) ดิฉันสนใจการศึกษาแบบ alternative education อยากเอาแกออกจากระบบ การศึกษาในโรงเรียนแล้วสอนเอง (homeschooling) มาก ๆ แต่ก็ไม่พร้อม หลายประการ (มีความจำเป็นต้องทำงานในวันจันทร์-ศุกร์ หยุดเสาร์-อาทิตย์ค่ะ) อยากทราบว่ามีสถานที่ไหนซึ่งจัดการศึกษาคล้าย ๆ homeschool หรือก้ำกึ่ง ระหว่างระบบโรงเรียนและ homeschool บ้างหรือไม่คะ

ต้องขออภัยที่ปัญหายาวไปสักหน่อย แต่คิดว่าจำเป็นต้องให้ข้อมูลที่เพียงพอ เพื่อคุณลุงใหญ่จักได้วิเคราะห์ได้ถ่องแท้มากขึ้น

ด้วยความเคารพอย่างสูง
คุณแม่ลูกโทน


เรียนคุณแม่ลูกโทน

ช่างเป็นบุญของลูกแท้ๆ ที่มีคุณแม่เอาใจใส่ดีอย่างนี้ จึงขอแสดงความภูมิใจและ แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า คุณลูกอายุ 10 ปี เรียนชั้นป. 5 เป็นเด็กเก่งคน หนึ่งครับ เหตุที่เบื่อไม่อยากไปโรงเรียน เพราะว่า ไม่มีอะไรที่ตรงกับใจตัวเองเลย การที่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่มีชีวิตชีวา พร้อมกันนี้ยังมีผู้คุม - ครู ที่เคร่งครัดต่อ ระเบียบ และทำโทษทั้งห้อง คนไหนไม่ผิดก็โดนทำโทษด้วย เบื่ออะไรที่เร่งรีบ อยากจะมีชีวิตที่สบายๆ จึงเกิดโรคเบื่อโรงเรียน และไม่มีความสุข

ความจริงแล้ว โรงเรียนเป็นแหล่งที่สร้างสรรค์ให้เด็กเป็นคนเก่ง (IQ) คนดี (MQ) และมีเหตุผล (EQ) ซึ่งผู้อยู่ในโรงเรียน นับตั้งแต่ผู้บริหารลงมาจนถึงครู เป็นผู้ที่ได้เรียนรู้มาเกี่ยวกับ ปรัชญา - จิตวิทยา - เทคนิคการสอน และการ ใช้อุปกรณ์ หรือกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมกับสติ ปัญญา สถานภาพของเด็ก ที่มีความแตกต่างกันระหว่างบุคคล แต่ครูกลับไม่ใช้ ใช้แต่ความรู้ เน้นอย่าง เดียว จึงทำให้เด็กที่สนใจบางอย่างไม่ได้มีการส่งเสริม เด็กจึงไม่ได้ทำในสิ่ง ที่ท้าทายความสามารถของเขา ไม่ได้สร้างสรรค์ในความคิดที่ตนมี จึงเป็นการ ปิดกั้นเขา และเกิดเบื่อหน่ายขึ้นมา

อย่าไปโทษเด็กเลย ว่าทำไมจึงเบื่อโรงเรียน ลูกจึงบอกว่า "ไม่ใช่ไม่อยากเรียน หนังสือ แต่ไม่ชอบแบบที่เป็นอยู่ในขณะนี้"

คำถามของคุณแม่จึงสรุปตอบได้ ดังนี้

1 ปลอบใจและเสริมกำลังใจ และให้ข้อคิดว่า บางครั้งเราต้องเจอกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ, ไม่พอใจบ้าง และหาโอกาสคุยกับคุณครู ไม่ใช่เพื่อต่อว่า แต่ปรึกษา

2 มีหลานคนอื่นอยู่ที่นี่อยู่แล้ว สะดวก ก็ไม่น่าจะย้าย นอกเสียจากว่า อาการเบื่อ รุนแรง และปรับตัวอย่างใดก็ไม่ได้ หลักการของโรงเรียนวอร์ลดอร์ฟ คือให้เด็ก มีความสุขมากๆ กับการเรียน

3 เป็นเด็กปกติดี ฉลาด แถมมีแววอัจฉริยะเสียด้วย นี่คือวุฒิภาวะ หรือไอคิวสูง พอๆ กับผู้ใหญ่อายุ 20 ปีขึ้นไป (อ่านสามก๊ก, เพชรพระอุมา, ชอบมีความรู้ชอบศึก ษา ฯลฯ) เรื่องสมาธิสั้นนั้น ถูกของคุณแม่ ไม่เป็นแน่ ไม่ต้องห่วง คือเขาจะเบื่อง่าย ในสิ่งที่รู้แล้ว, หรือไม่อยากฟัง หรือไม่สนใจ ฝ่ายพ่อ แม่, ครู ต้องหาสิ่งท้าทายให้เขา

4 เรื่อง Homeschool ขณะนี้ยังไม่มีอะไรเด่น เสียทั้งเวลาและการเงิน หากต้อง ลาออกจากงานประจำ คุณพ่อคุณแม่จะหาเวลามาสอนเองก็ไม่ได้ หรือจ้างครูมา ก็ไม่สะดวก สู้วิธีให้เด็กผจญปัญหาบ้าง, แก้ปัญหาไปบ้าง ในภายหน้า ในชีวิต จริงเขาจะมีปัญหาต้องแก้อีกเยอะ ขอให้สบายใจได้ โชคดีครับ

อ.จำรูญ


back
+++++++++++++++++++++


" คุณน้าเจ้าปัญหา"


สวัสดีคะ คุณลุงใหญ่
ขอเรียนปรึกษากับคุณลุงใหญ่เรื่องคุณน้าเจ้าปัญหา ซึ่งเป็นน้องสาวของแม่ น้องจ๋าคะ

แม่น้องจ๋าจะฝากน้องจ๋าให้คุณยายเลี้ยงดูตั้งแต่เล็กจนตอนนี้อายุประมาณ 9 ขวบแล้วค่ะ เพราะต้องทำงานไกลบ้านทั้งคุณพ่อและคุณแม่ จะอยู่ด้วยกันก็ตอนปิดเทอมเท่านั้น

ปัญหาคือ ตัวคุณน้าน้องจ๋าจะอยู่บ้านเดียวกับคุณยายเป็นคนชอบเที่ยวและเลิกกับสามีแล้ว มีลูกซึ่งอยู่บ้านเดียวกับคุณยาย ตลอดเวลาคุณน้าจะไม่ค่อยพอใจที่คุณยายรักน้องจ๋า มากกว่าตัวเองและลูกของคุณน้าเจ้าปัญหา

*หากมีการทะเลาะกับคุณยายก็มักจะพูดเสมอว่าถ้าคุณยายรักน้องจ๋ามากเท่าไรก็จะเกลียด น้องจ๋ามากเท่านั้น*

ซึ่งคำพูดนี้น้องจ๋าเล่าให้ฟังและก็สอบถามไปทางคุณยายก็พบว่าคุณน้าคนนี้ได้เป็นคนพูด จริง และจะมีพฤติกรรมที่ไม่ค่อยพอใจเวลาที่คุณยายทำอะไรให้น้องจ๋า เหมือนกับอิจฉา(คุณ ยายเล่าให้ฟัง)

บางครั้งสามีและคุณน้าเจ้าปัญหาก็จะมาทะเลาะกันที่บ้านคุณยาย ทำให้เด็กซึ่งเป็นลูกของ คุณน้ากับน้องจ๋ากลัวและร้องไห้ตลอดเวลา บางครั้งมีอาการถึงกับต้องหลบซ่อนเวลาที่พ่อมา ด้วย ซึ่งตัวดิฉันเองเกรงว่าในขณะนี้น้องจ๋าและหลานชาย ซึ่งเป็นลูกของคุณน้าเจ้าปัญหาจะ กลายเป็นเด็กมีปัญหาในที่สุด

พื้นฐานของน้องจ๋าเป็นเด็กร่าเริงช่างพูดเรียนหนังสือค่อนข้างเก่ง ส่วนหลานชายเป็นเด็ก ร่าเริง แต่จะไม่กล้าแสดงออกกับคนทั่วไป และจะขี้แยเวลาอยู่กับแม่

จึงขอเรียนปรึกษาคุณลุงใหญ่ถึงวิธีแก้ไขว่าจะทำอย่างไรกับพฤติกรรมของคุณน้าคนนี้และ มีแนวทางอะไรบ้างที่จะช่วยคุณยายและเด็ก ๆ ขอบคุณค่ะ

แม่น้องจ๋า


***ตอบคุณแม่น้องจ๋า***
น้องจ๋าอายุ 9 ขวบอยู่กับคุณยาย พ่อแม่รับมาอยู่ด้วยก็ ตอนปิดเทอม ที่บ้านยายมีป้าและมีลูกพี่ลูกน้อง ระหว่างอยู่ก็จะมีเรื่อง ความไม่ลงรอยบางอย่าง เช่น มีการทะเลาะ มีความอิจฉา มีความรัก ความเกลียด ฯลฯ เกิดขึ้นในสถานที่ที่ลูก อยู่ กลัวว่าทั้งลูกเองและลูกพี่ลูกน้องจะเป็นปัญหา…

ครับ เป็นปัญหาแน่ แต่ก็แก้ไขหรือผ่อนคลายได้

ประการแรก: พ่อแม่ แม้ว่าอยู่ไกล แต่ใจต้องใกล้นะครับ ควรสละ เวลาโทร.ไปคุย ถามข่าวคราว - การทำการบ้าน - กิจกรรมที่ โรงเรียน ปัญหาหนักใจมีอะไรบ้าง และได้จังหวะ ก็ไปเยี่ยมเยียน แกที่บ้านยาย พร้อมทั้งมีของฝาก ทั้งลูกเราเอง, ลูกของน้า, และถ้า จะให้ดีที่ สุด ของฝากคุณยาย (ตอบแทนคุณ) และให้น้าสาว (เพื่อ แสดงน้ำใจต่อกัน) และข้อควรระวัง ของฝากให้ลุกเรากับลูกของน้า ต้องมีคุณค่าเท่าเทียมกัน (แสดงว่าเรารัก ไม่ได้รังเกียจ)

ฝ่ายคุณยายไม่มีปัญหา รักหลานอยู่แล้ว ฝ่ายน้าสาว ที่คุณแม่เรียก ว่า คุณน้าเจ้าปัญหา นั้น ในที่นี้ก็จะเน้น เพราะไม่ทราบราย ละเอียด ข้อเท็จจริงโดยละเอียด จึงขอแนะนำกลายๆ ว่า เราพี่น้อง กันควรรักและให้เกียรติต่อกันดีที่สุด

ดังนั้นจึงต้องแสดงความขอบคุณทั้งคุณยายและน้าสาว ที่ช่วยดูแลหลานแทนเรา ฝ่ายน้าจะ ได้ภูมิใจว่า เราให้เกียรติเขาซึ่งเป็นเรื่องจิตวิทยาธรรมดาเมื่อเรามีน้ำใจที่แท้จริงไป เขาก็ จะมีน้ำใจที่แท้จริงกลับมา

ประการที่ 2: เรื่องคุณลูก ให้กำลังใจลูกให้มากๆ และยกตัวอย่างว่า บางครอบครัว พ่อแม่อยู่ ต่างจังหวัด หรือเป็นทหารตำรวจอยู่ชายแดน ไม่สามารถดูแลลูกทุกวันได้ ต้องแยกกันอยู่ อย่างนี้เพราะ "หน้าที่" แล้วชมลูกว่า ลูกดี - อยู่ กับยายและน้า แล้วยังขยันเรียน ขยันทำ การบ้าน ช่วยเหลือตัวเอง เก่ง ฯลฯ

ประการที่ 3: สอนให้ลูกเคารพ - นับถือยายและน้า ว่าเป็นผู้ดูแลเรา ช่วยเหลือเราแทนพ่อ แม่ อย่าสอนลูกให้เกลียดน้า (จะกลายเป็นนิยายน้ำเน่า) และเล่นสนุกหรือช่วยกันทำ การบ้านกับลูกของน้าโดยสนิทใจ ทุกคนมีปัญหา เพราะโลภ, โกรธ, หลง ทุกคน ถ้ามีน้อย หรือไม่มีเลยก็วิเศษ ทางแก้ ก็คือ มีเมตตา กรุณา เห็นอกเห็นใจต่อกัน สันติสุขก็มีล่ะครับ

คุณลุงใหญ่


back
+++++++++++++++++++++


"ลูกเป็นเด็กสมาธิสั้นรึเปล่าคะ?"


ดิฉันอยากทราบวิธีจัดการกับเด็กสมาธิสั้นค่ะ เพราะว่าแกไม่ค่อยสนในที่จะ เรียนหนังสือหรือทำการบ้าน และบางครั้งก็ดื้อไม่ทราบว่าแกเรียกร้องความ สนใจหรือเปล่า ดิฉันจึงอยากทราบว่าจะทำอย่างไรให้แกสนใจเรียนและทำ การบ้าน เพราะดิฉันกลุ้มใจมากค่ะ กลัวว่าต่อไปในอนาคตแกจะลำบากค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ

วันเพ็ญ


ตอบคุณวันเพ็ญ
เนื่องจากคุณวันเพ็ญไม่ได้บอกอายุของคุณหนูจึงตอบกลางๆ ตามหลักการและ ที่นักการศึกษากล่าวถึงนะครับ

จากข้อมูลลูกไม่ค่อยสนใจที่จะเรียนหรือทำการบ้าน และบางครั้งก็ดื้อ --- ครับ ลักษณะเหล่า นี้ก็เหมือนๆ กับเด็กทั่วไป ยังไม่น่าจะเรียกว่าเป็นเด็กสมาธิสั้น เพราะเด็กจะทำอะไรได้ นานๆ นั้น ก็ต้องเป็นเรื่องที่เขาสนใจ พอใจ เพลิดเพลิน สนุก และเข้าใจในสิ่งที่ทำ ฯลฯ

ส่วนเรื่องการเรียน การทำการบ้าน หรือทำกิจกรรมใดๆ ที่ครูหรือผู้ปกครองให้ทำ ถ้าตรง ข้ามกับที่กล่าว ก็แน่นอนว่าเขาไม่อยากทำ ไม่อยากเรียน หรือทำโดยไม่เข้าใจ หรือฝืนใจ ทำ สมาธิในการทำจึงมีน้อยเป็นธรรมดา ผู้เป็นครูจึงต้องเรียนรู้เทคนิคในการสอนหลาย อย่าง ต้องรู้จิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็ก แล้วระดมสติปัญญาของครู ทั้งเทคนิคและจิตวิทยา เพื่อเร้าใจ, หรือจูงใจเด็กให้เกิดความสนใจ แล้วเกิดความพอใจ งานครูจึงเป็นเรื่องที่ต้อง ทำอยู่ทุกวันดังกล่าวนี้

ส่วนทางฝ่ายผู้ปกครอง ก็คงจะต้องใช้ยุทธวิธีไม่แพ้กัน ต้องอาศัยใจเย็น ให้เวลากับเขา มากขึ้น ชี้แนะ/หรือนำทางในเรื่องราวที่เป็นการบ้านของเขา ทำงานเคียงคู่กับเขาสักระยะ หนึ่ง แล้วติดตามผลว่าเมื่อผู้ปกครองเอาใจใส่ เสียสละเวลามาดู แลลูกอย่างใกล้ชิดแบบนี้ ผลจะเป็นอย่างไร ขออย่างเดียว อย่าเพิ่งโมโหหรือโกรธลูกที่ไม่ได้ดังใจ - - - ให้นึกว่า นี่ เป็นโครงการสำคัญโครงการหนึ่งของครอบครัว ที่จะทำให้ "ลูก - สมบัติล้ำค่าของเรา" ประสบความสำเร็จในอนาคต

ขอให้คุณพ่อคุณแม่ อดทน เสียสละ เอาใจใส่ ผลที่ได้ล้ำค่ากว่าเวลาที่เสียมากมายนัก และ เพื่อตรวจสอบดูว่า ลูกมีลักษณะที่เป็นเด็กสมาธิสั้นหรือเปล่า มีลักษณะที่นักวิชาการได้สรุป ไว้ เช่น สนใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงสั้นๆ ทำอย่างนี้แล้ว ย้ายไปทำอย่างโน้น หลงๆ ลืมๆ ทำ อะไรไม่ค่อยเสร็จ ทำงานไม่เรียบร้อย หุนหัน อารมณ์พลุ่งพล่าน ระงับไม่ค่อยอยู่ บางครั้ง เหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฯลฯ (ซึ่งผมไม่คิดว่าลูกของคุณวันเพ็ญจะเป็นอย่างนี้)

อย่างไรก็ดี วิธีเยียวยาเบื้องต้นในกรณีที่ไม่สนใจการเรียน ไม่ชอบทำการบ้าน หรือสนุก กับอย่างอื่นมากกว่าเอาใจใส่การเรียน ก็คือ

ลดสิ่งเร้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่การเรียน การบ้านออกไป หรือให้น้อยลง โดยตกลงกับเขาว่า แม่จะ ช่วยดูแลลูกอย่างใกล้ชิดช่วงนี้ ตอนนี้ทำการบ้าน - เรียนก่อน หรือจะดูทีวี - เล่น ก่อนก็ได้ แต่ต้องกำกับเวลา แล้วค่อยเสริมเป็น - มีรางวัลบ้าง คือมีทั้งให้กำลังใจ - คำชม และสิ่งของ ตามสมควร คงจะช่วยให้ดีขึ้นนะครับ หวังว่าคุณแม่คงจะหายกลุ้มบ้าง - และสบายใจในที่สุด

คุณลุงใหญ่


back

+++++++++++++++++++++


"ทำไมผลการเรียนของหลานจึงขึ้นๆ ลงๆคะ"


ตอนนี้น้องมดอยู่ชั้น ป. 4 ผลการเรียนในแต่ละปีที่ผ่านมา เช่น ป. 2/4 จะสอบ ได้ ที่ 3 , 4 พอขึ้นชั้น ป. 3 ผลการเรียนตกลงเป็นที่ 27, และ 41 ไม่ทราบเป็น ผลมาจากทางโรงเรียนย้ายให้น้องมดไปเรียนในห้อง ป.3/3 ซึ่งจะเป็นเด็กที่ ย้ายมาจากห้องต่าง ๆ ในป. 2 ที่มีผลการเรียนดี จึงทำให้ผลการเรียนตกลงและจะต้องปรับ สภาพใหม่กับเพื่อน

และใน ป. 4 นี้น้องมดก็ย้ายจากห้องเก่าไปอยู่อีกห้องนึ่งซึ่งไม่ใช่เพื่อนกลุ่มเดิม ทำให้ตัว คุณยายเองเกรงว่าน้องมดจะมีปัญหาทางด้านการเรียน สำหรับพื้นนิสัยเดิมของเด็กเป็น เด็กร่าเริงกล้าแสดงออกกล้าคิดกล้าทำและช่างพูดทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน จึงอยากให้คุณ ลุงช่วยแนะแนวทางว่าจะช่วยเด็กได้อย่างไร

ปัญหาของน้องมดอีกข้อคือเป็กเด็กที่ช่างพูดและคุยเก่งมากอันนี้ทางคุณครูประจำชั้นที่ผ่าน มามักจะบอกมีวิธีใดบ้างคะที่จะไม่ให้คุยในห้องเรียนบ่อย ๆ

คุณยาย


ตอบคุณยายน้องมดครับ
คุณยายรักหลาน เอาใจใส่หลาน ชื่นใจแทนหลานด้วยครับ
โดยปกติน้องมดมีประวัติการเรียนดีมาตลอด ตอนอยู่ป. 2 ยังสอบได้ที่ 2 ที่ 3 อยู่เลย เพิ่งจะมาเรียนตกลงเพราะ (คงจะ) ย้ายชั้น ตอนนี้อยู่ชั้นป. 3 นี่แหละ อีกประการ หนึ่ง น้องมดเป็นเด็กร่าเริง ช่างพูด คุยเก่ง กล้าแสดงออก กล้าทำ ถามว่ามีวิธีใดบ้างที่จะไม่ ให้คุยในห้องเรียนบ่อยๆ คุณยายเป็นห่วงผลการเรียน และขอปรึกษาเรื่องช่างคุย

ประการแรก น้องมดเป็นเด็กเรียนดีมาก่อนดังที่เล่ามา แสดงว่า สติปัญญาดีอยู่แล้ว จึงไม่ ต้องห่วงว่าจะเป็นเด็กทึบ หรือ IQ ต่ำ เมื่อใดแก้ไขสิ่งแวดล้อมและเสริมกำลังใจถูกทาง การ เรียนของเขาจะดีขึ้นเหมือนเดิม จึงอยู่ที่ฝ่ายทางบ้านต้อง "ลงแรง" หน่อยล่ะครับ ก็เอาใจใส่ การเรียน ทำการบ้านที่บ้าน

การเอาใจใส่ที่ว่านี้ไม่เกี่ยวกับการลงโทษนะครับ ขอดูผลงานที่หลานทำ, สอบถามการบ้าน, ถ้าชี้แนะนำได้ ก็ยิ่งดี, ช่วยวางแผนการเรียนที่บ้านร่วมกันกับเขา เช่น กลับจากโรงเรียน มาถึงบ้าน ทำอะไรบ้าง พักผ่อนสักระยะหนึ่งแล้ว ก็อาบน้ำลงมือดูหนังสือหรือทำการบ้าน หรือเขาจะดูทีวีก่อน จะดูนานเท่าไร ตกลงกันได้แบบหลักประชาธิปไตย แล้วดำเนินการ ตามนั้น เมื่อตกลงกันเขาก็จะไม่ดื้อ แรกๆ ก็ควรมีรางวัลชมเชย หรือของที่สมควรบ้าง เพื่อ เป็นกำลังใจ จะต้องอาศัยเวลาและอดทนสักระยะ คือช่วงนี้ฝ่ายคุณยายหรือคุณพ่อคุณแม่ & ผู้ปกครองต้องสละเวลาสักหน่อยล่ะครับ

นอกจากนั้น ก็ติดตามผลคือ ตรวจดูว่า เขาทำอะไรได้, ไม่ได้ หรือผล เป็นอย่างไร แต่ทุกกรณีไม่มีการทำโทษ หากว่าไม่เป็นที่พอใจ ใช้วิธี เสริมกำลังใจให้มากที่สุด

ส่วนที่โรงเรียน ครูเขาดูแลอยู่แล้ว และครูทั่วไปต้องมีเทคนิคที่จะ เลือกกลวิธีรับมือกับลูกศิษย์ของตนที่แตกต่างกัน คุณสมบัติเบื้องต้นของครูก็คือ รักเด็ก เมตตาเด็ก มีความระมัดระวังในอารมณ์ มีความพอใจที่จะช่วยเหลือเด็กทุกคน ผู้ปกครอง คุยกับคุณครูเขาเสียหน่อยว่า ทางบ้านก็กำลังดูแลเขาอย่างเต็มที่ เรื่องการคุยเก่ง, ช่างพูด, กล้าแสดงออก เป็นคุณลักษณะเด็กฉลาดอยู่แล้ว ส่งเสริมให้ถูกทางก็ยิ่งฉลาดใหญ่ เช่นให้ เขาเล่าเรื่องที่ครู, เพื่อนในชั้นฟัง บางทีต้องใช้เวลานอกห้องเรียน ทางบ้านก็เช่นกัน สนใจ ฟังเขา และถามเขาให้เขาเล่า บางทีก็ให้เขียนเล่าเรื่องต่างๆ เป็นการฝึกเป็นนักพูด นัก เขียนล่วงหน้า ขอให้กำลังใจคุณยายของน้องมดครับ!

คุณลุงใหญ่


back
+++++++++++++++++++++


"อยากจะถามถึงความพร้อมของเด็กเริ่มหัดเขียนหนังสือ"


คือตอนนี้ลูกสาวผมจะต้องเข้าเรียนอนุบาล 1 ผมก็ได้ไปหาโรงเรียนให้ลูก เรียน ผมไปดูมา 2-3 แห่ง แห่งแรก จะเป็นการเรียนการสอนแบบปล่อยให้ เด็กเล่นกับคุณครูแบบสบายๆ มีชั่งโมงเล่นมากกว่าชั่วโมงเรียน, อีกแห่งจะ เข้มงวดขึ้นมาหน่อย โดยในเทอมแรกจะไม่ค่อยจะเข้มสักเท่าไหร่ แต่ในเทอม 2 จะเริ่มให้ เด็กหัดเขียนทั้งไทยและอังกฤษ (เป็นโรงเรียน 2 ภาษา) พอเข้าอนุบาล 2 เด็กทุกคนจะต้อง เขียนได้คล่อง ผมอยากจะถามว่าเด็กในวัยนี้ควรจะปล่อยให้เล่นไปก่อนหรือเปล่า และผม ควรจะให้ลูกผมเข้าเรียนโรงเรียนแบบไหน (อยากจะให้คุณหมอแนะนำการฝึกการเรียน และแนะนำโรงเรียนที่สอนให้เด็กคิดเป็น ไม่ได้สอนให้ลูกผมเป็นนกแก้วนกขุนทอง) เพราะผมเองก็ไม่ชอบให้ลูกผมต้องเคร่งเครียดกับการเรียนมากเกินไป ซึ่งผมเคยได้ยิน มาว่าการเล่นก็เป็นการพัฒนาเด็กด้วยอีกแบบ (ผมไม่อยากให้ลูกผมต้องไปสอบแข่งขัน เพื่อเข้า ป.1)

คุณพ่อน้องตูน


ตอบคุณพ่อน้องตูน
คุณพ่อมีลูกสาวจะต้องเข้าเรียนอนุบาล 1 ไม่ชอบให้ลูกเครียด ไม่ชอบให้ลูก ต้องไปสอบแข่งขันเข้า ป. 1 และได้ไปดูโรงเรียนให้ลูกมา 2-3 แห่งแล้ว กำลัง ตัดสินใจ

จากข้อมูลของคุณพ่อที่บอกมา และถามว่าเด็กควรจะปล่อยให้เล่นไปก่อนหรืออย่างไร ครับ จากที่ยอมรับกันทุกๆ ฝ่ายการศึกษา หรือฝ่ายจิตวิทยา เน้นเรื่องให้เด็กเล่นสนุกสนาน เพราะโลกของเด็กวัยนี้จะต้องมีการเล่นสนุกสนานและมีความสุขกับการเล่น แต่ไม่ใช่การ เล่นแบบไร้ทิศทางนะครับ คือการเล่นที่มีกิจกรรมประกอบเพื่อพัฒนาทางกายบ้าง ทาง อารมณ์บ้าง ทางสังคมบ้าง และทางสติปัญญาบ้างตามวุฒิภาวะของเขา และตามความแตกต่าง เฉพาะตัวของเขาด้วย

โรงเรียนอนุบาลส่วนใหญ่ก็จะเน้นเรื่องนี้ แต่ที่แตกต่างกันบ้างก็อยู่ที่แนวการจัดว่าจะยึด แนวไหนเช่น
- แนวปล่อยให้เล่นสนุกกับคุณครูแบบสบายๆ
- แนวเล่นบ้างแล้วเสริมวิชาบ้าง
- แนวเข้มแข็งเพื่อมุ่งจะให้เข้าเรียนป. 1 โรงเรียนมีชื่อ


ดังนั้น เมื่อดูจากข้อมูลของคุณพ่อ ก็พบคำตอบอยู่แล้วว่า คงจะให้เรียนในแบบที่ 1 - หรือที่ 2 สำหรับโรงเรียนที่สอนหลักสูตร 2 ภาษานั้น ถ้าคุณพ่อคุณแม่สัมผัสโรงเรียนนั้นแล้ว เห็นว่า ลูกมีความพร้อมเบื้องต้นพอสมควร เช่นเคยผ่านเนอร์สเซอรี่มาแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะนักวิชาการหลายท่านยอมรับว่า เด็กสามารถเรียน 2 ภาษาได้ตั้งแต่วัยอนุบาล จิตใจ ของเด็กเป็นจิตใจทึ่มซับจะดูดซึมทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยไม่รู้ตัว ข้อสำคัญที่สุดคือ ครูผู้สอนจะ ต้องเป็นคนที่มีคุณสมบัติเมตตาเด็ก มีความอ่อนโยน มีความรัก และพอใจกับวิชาชีพที่ตน เองทำอยู่ เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

ลูกใครไปอยู่กับโรงเรียนใด ลูกร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียนทุกวันนานเกินไป ก็เพราะลูก ต้องไปเจอกับครู แสดงว่าครูไม่ได้มีคุณสมบัติดังกล่าว เป็นปัจจัยต้องย้ายโรงเรียน แต่ เสียเงินมากๆ ไปแล้ว นี่สิปัญหา จึงจำเป็นต้องสืบสวนก่อนว่าครูนั้น โรงเรียนนั้น เป็น อย่างไร จึงตัดสินใจ น่าจะถูกต้องครับ

คุณลุงใหญ่


back
+++++++++++++++++++++


"ลูกเขียนหนังสือทั้งมือซ้ายและมือขวา ทำอย่างไรดี?"


ลูกชายอยู่อนุบาล 2 ตอนเด็กๆ ก่อนเข้าเรียนหนังสือถนัดซ้าย พอเข้ารร. อนุบาล ครูสอนให้เขียนมือขวา แต่ดิฉันไม่บังคับลูก อยากใช้มือไหนเขียน หนังสือก็ได้ พออยู่บ้านลูกเลยใช้ทั้งมือซ้ายมือขวาสลับกัน พอไปรร. คุณครูก็ ต้องการให้ลูกใช้มือขวาหรือไม่ก็มือใดมือหนึ่งข้างเดียว เพื่อจะได้พัฒนาเร็วขึ้น เพราะลูก เขียนหนังสือได้ช้ากว่าเด็กคนอื่น ครูกลัวตามเพื่อนไม่ทันและบอกว่า กล้ามเนื้อเล็กพัฒนา ช้ากว่าเพื่อนในชั้นมาก

ขอความเห็นว่า ควรปล่อยให้เป็นไปแบบนี้หรือไม่ ซึ่งดิฉันคิดว่าน่าจะปล่อยให้เป็นไปตาม ความถนัดของเด็กจะดีกว่า จนกว่าลูกจะเลือกได้เองว่าจะใช้มือไหนแน่นอน สรุปคือดิฉัน ไม่เห็นด้วยกับคุณครูที่รร.น่ะค่ะ ขอเรียนถามคำแนะนำด้วยค่ะ ขอบคุณมาก

กัลยาวดี


ตอบคำถาม:
ลูกชายอยู่อนุบาล 2 ตอนก่อนหน้านี้ถนัดซ้าย พอเข้าโรงเรียนอนุบาลครูสอน ให้เขียนมือขวา คุณพ่อคุณแม่ไม่บังคับลูก แต่กำลังคิดว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี

ฟังๆ ดูก็น่ายินดีกับคุณลูกด้วยที่คุณพ่อคุณแม่เป็นนักประชาธิปไตย ไม่บังคับลูก แต่การที่ ลูกใช้ทั้งมือซ้ายขวาสลับกันไปมา ก็ทำให้เขียนได้ช้าเพราะอะไร? - ก็เพราะการลังเลที่เกิด ความไม่แน่นอนประการหนึ่ง และจากข้อมูลที่ให้มาว่า กล้ามเนื้อเล็กพัฒนาช้ากว่าเพื่อนๆ ก็คงจะเป็นอีกประการหนึ่ง ควรปล่อยให้เป็นเช่นนี้หรือไม่ ก็คงจะไม่สมควรล่ะครับ ลอง ปล่อยไว้นานๆ ก็จะยิ่งสับสนใหญ่ ลองพิจารณาดูเหตุผลและองค์ประกอบแวดล้อม ประกอบ กับการฝึกหัดปฏิบัติอย่างใจเย็น ทั้งจากผู้ปกครองและครู โดยทำงานประสานกันอย่างใกล้ ชิดสักระยะ เช่น

1) เรื่องกล้ามเนื้อ ให้ฝึกทางเดินของตัวอักษร ทุกทิศทาง ทั้ง - เส้นตรงและเส้นโค้ง สมมุติ ว่าใช้มือขวา ก็ฝึกให้หนัก หมดสมุดไปเป็นเล่มๆ ก็ยิ่งดี
เช่น -------> --------> ---------> ทำ 1 หน้า <------ <------- <--------- ทำ 1 หน้า
เขียนเส้นเฉียง 45 องศาไปทางขวา คล้ายข้างบน ทำ 1 หน้า
เขียนเส้นเฉียง 45 องศาไปทางซ้าย ทำ 1 หน้า
เขียนเส้นตรงขึ้นข้างบน 90 องศา ทำ 1 หน้า
เขียนเส้นตรงลงข้างล่าง 90 องศา ทำ 1 หน้า
ลากเส้นโค้งไปทางขวา ทำ 1 หน้า
ลากเส้นโค้งไปทางซ้าย ทำ 1 หน้า (หัวลูกศรไม่ต้องทำนะครับ)

2) ครู-ผู้ปกครองช่วยกันฝึก ทบทวนใหม่ ก - ฮ หรือ A- Z ก็ทำตามที่เรียน กิจกรรมอื่นๆ ก็ เรียนไปเป็นปกติ แต่การฝึกเขียนเน้นเป็นพิเศษ และอย่าลืมจิตวิทยา พูดชม - รางวัล - ฯลฯ เมื่อเขาทำได้สำเร็จ อันนี้ประการสำคัญมาก อย่าดุ หรือพูดให้เขาท้อถอย ให้กำลังใจ ๆ ๆ ตลอดเวลา ผมเองก็เป็นคนถนัดซ้ายทุกอย่าง เช่น จับของหนักๆ หรือทำอะไรก็ใช้มือซ้าย แต่ได้ฝึกให้เขียนมือขวา ทานอาหาร (ช้อนส้อม) ใช้มือขวา ฝึกยิงปืนตอนเรียนรด. (รักษา ดินแดน) มือขวา ก็เลยใช้มือขวาได้ดีในบางเรื่องที่ฝึกครับ ขอให้คุณแม่ตัดสินใจได้เลย

คุณลุงใหญ่


back
+++++++++++++++++++++


"EQ คืออะไรครับ?"


ขอเรียนถามดังนี้นะครับ
EQ คืออะไร เกี่ยวข้องกับเด็กอย่างไร และแตกต่างจาก       IQ ตรงไหนครับ

คุณพ่อน้องน้ำหวาน

ตอบ:
ขณะนี้มีผู้สนใจเรื่อง EQ กันมาก ซึ่งก็น่าสนใจจริงๆ ครับ   เพราะดูๆแล้ว EQ น่าจะมีคุณค่าในการดำรงชีวิต อย่างเป็นสุขได้มากกว่า IQ ที่กล่าวเช่นนี้เพราะ นักจิตวิทยา--นักการศึกษา ยุคนี้ยอมรับกัน ที่ว่าเกี่ยวข้องกับเด็กอย่างไร ก็เกี่ยวข้องกับ ชีวิตทุกชีวิตละครับทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ใครมีทั้ง IQ, EQ ทั้งสองอย่างก็ยิ่งวิเศษ นอกจากนี้แล้ว ยังมีผู้รู้เพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่งคือ MQ ยิ่งมี MQ ก็ยิ่งประเสริฐเลิศเลอเลย คำทั้งหลายนี้คือ

1) IQ (Intelligent quotient) = ความฉลาดทางปัญญา เน้นไปที่การเรียนรู้เก่ง ฉลาด ได้ คะแนนสูง เรียนเป็นที่ 1-2 มาตลอด แต่หากมี IQ สูงแต่ EQ ต่ำ ไม่ดีนะครับ เพราะอะไร เพราะ:-

2) EQ (Emotional Quotient) = ความฉลาดทางอารมณ์ เน้นไปที่การเป็นบุคคลที่อารมณ์ดี อารมณ์เย็น มักจะเป็นคนมองโลกในแง่ดี ไม่เครียด และมีชีวิตที่เป็นสุข

3) MQ (Moral Quotient) = ความฉลาดทางศีลธรรมจรรยา เน้นไปที่ผู้มีศีลธรรม มีความรู้สึก ผิดชอบชั่วดี และประพฤติปฏิบัติในทางดีงาม เป็นผู้มีน้ำใจ ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อ ฯลฯ ยก ตัวอย่างเปรียบเทียบนะครับ

นาย ก. IQ สูง สอบเข้าทำงานได้และเป็นหัวหน้างานตั้งแต่หนุ่ม สั่งงานลูกน้อง - สั่ง 2 ครั้ง ลูกน้องทำไม่ได้ดังใจตนก็โกรธ ด่าว่าลูกน้อง ไปเจอลุกน้องเลือดร้อนเข้า กลับไปบ้านคว้า ปืนมายิง - ตาย นี่แสดงว่า IQ สูงอย่างเดียวช่วยตัวเองไม่ได้ ระบบโรงเรียนและสถาบัน ครอบครัวได้ให้ความสำคัญกับ EQ อย่างมาก โดยหวังจะให้เด็กมีชีวิตอย่างเป็นสุขมาก กว่ามีปัญญาแล้วเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ตน เอาปัญญาเข้าข้างตนมาข่มเหงผู้อื่น ไม่ดีเลย หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเน้น EQ และ MQ มา 2500 กว่าปีแล้ว ขอให้ คุณลูกของคุณพ่อฯ มี EQ มากๆ นะครับ

คุณลุงใหญ่


back
+++++++++++++++++++++


"สงสารลูกเพิ่งเข้าป. 1 ที่โรงเรียนใหม่"


วันนี้ไปส่งลูกสาวไปรร. ลูกทำท่าเหมือนไม่อยากไป เพราะเข้าชั้นป.1 และรร. นี้ลูกไม่เคยเรียนมาก่อน เนื่องจากจบอ.1 จากที่อื่น จึงนับว่าเป็นรร.ใหม่ สำหรับลูก ไม่ทราบว่าจะปลอบลูกหรือบอกลูกกยังไงดีคะ จึงจะช่วยให้ลูกรู้สึกดี ขึ้น หายหวาดกลัวการไปรร. รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีที่ต้องทิ้งลูกให้ผจญภัยอยู่ที่รร.ตามลำพัง ไม่ ทราบว่าคิดมากเกินไปหรือเปล่า ขอบคุณค่ะ

ศศินา


ตอบคุณศศินา
ไปส่งลูกสาว ลูกทำท่าจะร้องไห้ ฯลฯ ครับการเปลี่ยนสถานที่จากที่หนึ่งไปอีกที่ หนึ่ง เค้าคงจะรู้สึกว้าวุ่น กังวล สับสนและไม่สนิทใจ ก็เหมือนผู้ใหญ่ย้ายบ้าน นั่นแหละ ผู้ใหญ่ยังกังวลเลย ผู้ใหญ่จึงปลอบใจโดย บางครอบครัวนำพระพุทธรูปเข้าไป ก่อน เพื่อให้พระพุทธรูปช่วยคุ้มครอง บางครอบครัวจุดธูปเทียนขออนุญาตและขอขมาที่จะ มาอยู่

สรุปว่า ควรมีขั้นตอนให้ลูก เช่น ถ้าสามารถนำลูกมาสัมผัสกับโรงเรียนนั้นๆ ก่อนจะดีมาก แต่นี่ผ่านไปแล้วก็ปลอบใจเขา และเมื่อมาส่งลูกก็ควรจะสละเวลาพูดคุยกับคุณครูเวร, คร ูประจำชั้น, หรือครูใหญ่ และนำลูกไปในขณะที่พูดคุยแนะนำนั้น ลูกจะได้รู้ว่า บุคคลต่างๆ ในโรงเรียนนี้ ก็มีไมตรีกับตน รักตน และเมื่อต่อมได้รู้จักเพื่อน ปรับตัวได้ เขาก็จะมีความ สุขอยากไปโรงเรียนเหมือนเช่นเคย ขอให้กังวลได้ครับ

คุณลุงใหญ่


back
+++++++++++++++++++++


"ลูกอายุ 2 ขวบควรให้เข้าเตรียมอนุบาลดีมั้ย?"


สวัสดีค่ะอาจารย์
ตอนนี้ลูกชายอายุ 2 ขวบ อยากจะให้เข้ารร.เตรียมอนุบาล แต่อีกใจก็ยังสงสาร ลูกเพราะคิดว่ายังเล็กไป ถ้าอยู่บ้านก็อยู่กับพี่เลี้ยง เพราะคุณพ่อคุณแม่ทำงาน นอกบ้านทั้งคู่ ไม่ทราบว่าอจ.มีความเห็นอย่างไรคะ

วิมลวรรณ


ตอบคุณวิมลวรรณ
ลูกชายอายุ 2 ขวบ โดยปกติถ้าสภาพร่างกายสมบูรณ์ก็สามารถให้เข้าสถานฝึก (ส่งเสริม)พัฒนาการ หรือเรียกว่าเตรียมความพร้อมได้ครับ เพราะถ้าอยู่บ้านก็ อยู่กับพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงก็จะเลี้ยงดูแบบพี่เลี้ยงทั่วไป ไม่ได้ส่งเสริมอะไรที่เป็นการเตรียมเพื่อ เข้าเรียนอนุบาล หลักสูตรการเรียนส่งเสริมความพร้อมก็มีคล้ายๆ กับของอนุบาลคือพัฒนา การทางกาย, อารมณ์, สังคม และสติปัญญา (สติปัญญาหรือเรียนอะไรจริงจังนั้น ยังไม่ต้อง เน้นในระดับนี้)

เด็กเล็กไปอยู่โรงเรียนแรกๆ ถ้าไม่เตรียมการไว้บ้างก็จะร้องไห้และอาจมีทัศนคติที่ไม่ดี กับระบะโรงเรียนได้ ข้อแนะนำทั่วไปก็คือ เลือกโรงเรียน...ไปพบครูใหญ่ - ผอ. - ครูที่โรงเรียน พูดคุยซักถามทั่วไป และนำลูกน้อยไปให้สัมผัสคุ้นเคยกับสถานที่, บุคคลที่รร. เด็กจะได้เห็นว่าอะไรคือโรงเรียน มีของเล่นมากมาย เด็กจะได้หัดสัมผัส ถูกต้อง เล่นของ เล่น (โรงเรียนที่ใจกว้างจะยินดี) อย่างสนุก ให้มาทำอย่างนี้สัก 2-3 ชม. แล้วเมื่อถึงวันฝาก เรียนก็ให้มีพี่เลี้ยงอยู่ประกบสัก 2-3 ชม. แล้วค่อยๆ ลดน้อยลง ฝ่ายเด็กบางวันอาจจะร้อง บางวันอาจไม่ร้อง ก็ไม่ต้องกังวลใจ ในไม่ช้าก็จะชิน และมาโรงเรียนอย่างมีความสุขตลอด ไปจนถึงอนุบาล
ขอให้คุณพ่อคุณแม่สบายใจได้ ขอบคุณครับ

คุณลุงใหญ่


back
+++++++++++++++++++++


"กิจกรรมและการเรียนเสริมหลักสูตรของลูกมากเกินไปหรือไม่คะ"


สวัสดีค่ะ
ขอเรียนถามดังนี้ค่ะ ลูกชายอายุ10 ขวบ อยู่ป.5 ดิฉันให้เรียนคอมพิวเตอร์ที่ จุฬา (เป็นคอร์สสำหรับเด็กชื่อไอทีจีเนียส) ทุกวันอาทิตย์ 2 ชม.เรียนระนาด และไวโอลินวันธรรมดา 1 ชม.(สลับวันกัน) เรียนภาษาอังกฤษวันเสาร์ 2 ชั่วโมง ไม่ทราบว่าดิฉันให้แกเรียนมากเกินไปหรือเปล่าคะ
แต่เท่าที่ดูก็เห็นแกเป็นปรกติดี คือไม่มีทีท่าว่าจะไม่อยากไปเรียน แต่ก็ไม่ถึงกับกระตือ รือร้นนัก เพราะอยู่บ้านก็เอาแต่เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ไม่ทำอะไรเลย การเรียนก็อยู่ใน ระดับปานกลางค่ะ ปีหน้าขึ้นชั้นป.6 ก็คงต้องเรียนหนักมากกว่าเดิม ควรตัดกิจกรรมใดออก ไปบ้างไหมคะ ขอบคุณค่ะ

คุณแม่น้องนนท์



เรียนคุณแม่น้องนนท์
คุณลูกชายอายุ10 ขวบเรียนชั้นป.5 ขณะนี้มีกิจกรรมทั้งการเรียนประจำและ การเรียนเสริมหลายอย่าง ขอเรียนให้ความเห็นว่า :-

การเรียนประจำต้องมาก่อนแน่นอน ช่วงปิดเทอมเวลาเยอะก็ทำกิจกรรมเสริมได้สะดวก แต่ตอนนี้เปิดเทอมแล้ว ทำกิจกรรมประจำคือเรียนในชั้นให้ดีที่สุด หลักการเรียนทั่วไปใน ชั้นก็คือ:

1) ทำอย่างไรให้มี(จิต)ใจอ่านบทเรียนทุกวิชาล่วงหน้าก่อนครูสอน
2) ทำอย่างไร ทำการบ้านได้หมดที่ครูสั่ง
3) ทำอย่างไรการเรียนแต่ละวันสนุก ไม่เครียด ไม่กลัว และพอใจที่จะทำตักตวงความรู้


ซึ่งจะทำได้ดีจะต้องมีแรงจูงใจทั้งภายใน/ภายนอกส่งเสริม หากเป็นไปได้คุณพ่อคุณแม่จะ ภูมิใจยิ่งที่ลูกกลับมาจากโรงเรียนแล้วพักผ่อนซักระยะ

คุณลุงใหญ่


back
+++++++++++++++++++++


"ควรให้ลูกไปโรงเรียนต่อหรือไม่คะ"


ลูกชายอายุ2ขวบ4เดือนค่ะค่อนข้างขี้อายและกลัวคนแปลกหน้า พาไปเข้า โรงเรียนชั้นเตรียมอนุบาล 3 สัปดาห์แล้ว ยังไม่อยากไปโรงเรียน ร้องตามแม่ (ครูบอกว่าร้องอยู่2นาที)หลังจากนั้นก็ไม่ร้องอีกเลย แต่ยังไม่พูดกับใครถ้าไม่ ถาม มักอยู่คนเดียวแต่มีบ้างที่เข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อน(น้อยครั้ง) กลับมาบ้านท่าทางเพลีย นอนเล่นอยู่คนเดียวพักใหญ่ โดยไม่พูดกับใคร(แต่พูดและร้องเพลงคนเดียว)จึงลุกขึ้น มาเล่นกับพี่เลี้ยง(แม่ทำงานนอกบ้าน)และขออาหารทาน เข้านอนตั้งแต่ 2 ทุ่มซึ่งปกติจะเป็น 4 ทุ่ม

แต่พบว่าตั้งแต่ไปโรงเรียนเมื่ออยู่กับแม่เค้ามีเหตุผลขึ้น ไม่งอแง กล้ามากขึ้น เป็นอยู่อย่าง นี้มา 3 สัปดาห์แล้วค่ะจนsummer ปิดแล้ว อยากเรียนถามว่าเปิดเทอมวันที่ 18 พฤษภานี้จะ ให้เค้าไปโรงเรียนต่อดีหรือไม่คะ(ก่อนนี้กลางวันไปฝากไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กเล็กๆเขาก็มี ความสุขดีค่ะ) ขอบคุณค่ะ

ปัญฑารีย์



ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีด้วยที่คุณหนูของคุณแม่มีความพร้อมที่จะออกสู่โลก กว้าง และจากข้อมูลดังกล่าว ขอแสดงความคิดเห็นและส่งเสริมให้คุณหนูเข้า เรียนต่อได้เลยครับ เหตุผล: -

1) คุณหนูมีพัฒนาการทางกาย มีความพร้อมที่จะเรียนในชั้นเตรียมอนุบาลได้แล้ว ต่อเมื่อ มาเรียนที่รร.ชั้นเตรียมฯอีกระยะหนึ่ง ก็จะมีอายุครบ 3 ขวบ พัฒนาการต่างๆ เช่น ด้าน อารมณ์ สังคมก็จะดีขึ้น สามารถเรียนต่อ อ.1 ได้อย่างสบาย

2) ที่ว่าขี้อายและกลัวคนแปลกหน้า ก็เป็นธรรมดาในช่วงแรกๆ ที่รร.มีครูที่เข้าใจเด็ก เมตตา และเอาใจใส่อย่างแท้จริง เด็กก็จะกล้าแสดงออก ไม่อาย และสามารถเรียนรู้ ทำกิจ กรรมกับเพื่อนๆ ได้ดีต่อไป

3) การที่เด็กเพลียและนอนเร็วขึ้นก็คงจะเกี่ยวกับการปรับตัวในระยะแรกๆ เมื่อเข้าร่วม กิจกรรมกับเพื่อนๆ รร.ก็มีอะไรบางอย่างที่ส่งเสริม เด็กก็จะมีพัฒนาการทางอารมณ์ สังคม การปรับตัวก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ และมีความสุข คุณแม่หายห่วงได้ มีรายละเอียดอื่นอย่างใด เชิญคุยมาได้อีกครับ

คุณลุงใหญ่


back


เลือกเนอร์สเซอรี่ให้ลูก แบบไหนดีคะ?


สวัสดีค่ะคุณลุงใหญ่ อีกไม่นานลูกสาวคนโตก็จะครบ 2 ขวบแล้วค่ะ ตอน นี้ลูกอยู่กับตายายที่ต่างจังหวัด ซึ่งเป็นที่โล่งกว้างท่ามกลางทุ่งนาและ สวนผล ไม้ในบรรยากาศแบบชนบท ดังนั้นจึงทำให้เขาไม่ค่อยคุ้นเคย กับการพบคน แปลกหน้ามากนัก อีกทั้งยังได้รับการเอาอกเอาใจจากทั้งตาและยาย เป็นอย่างมากด้วย ทำ ให้ดิฉันเป็นกังวลว่า ถ้าดิฉันพาลูกเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แล้วพาไปเข้าเนอร์สเซอรี่ เขาจะมี ปัญหาหรือไม่ จะสามารถปรับตัวเข้ากับคุณครู เพื่อนใหม่ และสถานที่ได้หรือเปล่า กลุ้มใจ มากค่ะ

ทั้งตายายเองก็คัดค้านบอกว่าลูกยังเล็กเกินไป อีกทั้งไม่ไว้ใจเนอร์สเซอรี่ โดยกลัวว่าเขาจะ ไม่เอาใจใส่เด็กจริง สำหรับเรื่องเนอสเซอรีนั้น ดิฉันได้ไปดูมาแล้วหลายแห่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ที่ทำงาน

หลังจากพิจารณาทั้งหมดแล้วก็พบว่าเหลือเพียงสองแห่งที่ดิฉันไม่สามารถตัดสินใจได้ค่ะ จึง ต้องขอคำปรึกษาจากคุณลุงใหญ่

แห่งที่หนึ่ง เป็นเนอสเซอรี่ของทหารค่ะ สถานที่กว้างขวางปลอดโปร่ง เงียบและสะอาด จำนวนเด็กก็ไม่เยอะทำให้ไม่แออัด วันที่ดิฉันไปดูมีเด็ก 30 คน มีครูรวมพี่เลี้ยง 7 คน

แห่งที่สอง เป็นเนอสเซอรีของรพ.ของรัฐค่ะ สถานที่เป็นลักษณะห้องโถงใหญ่ 2 ห้อง สำหรับเด็กโตและเด็กเล็กที่ดูแลแยกกัน และมีห้องรับประทานอาหารอีก 1 ห้อง อยู่บนชั้นสองของตึก มีคุณครูผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กเล็กและพี่เลี้ยงที่ ได้รับการอบรมฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ดิฉันได้ดูรายการกิจกรรมของเด็ก ๆ ในแต่ละวัน แล้วน่าสนใจ และเห็นว่าจะสามารถส่งเสริมพัฒนาการและทักษะ เพื่อเตรียมความพร้อม ให้เด็กสามารถช่วยเหลือตัวเอง และเข้าสู่ระดับอนุบาลต่อไป

สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจลำบากก็คือ ดิฉันชอบบรรยากาศที่กว้างขวางของแห่งแรกและคิดว่า น่าจะเหมาะสมกับลูกที่เติบโตมาในสถานที่ที่โล่งกว้าง แต่ดิฉันก็ไม่แน่ใจว่า ผู้ที่ดูแลนั้นจะ มีความรู้ด้านพัฒนาการเด็กมากน้อยแค่ไหน เพราะเท่าที่สอบถามเรื่องกิจกรรม ก็จะ ปล่อย ให้เด็กเล่นเกม ดูวีดีโอ ในขณะที่แห่งที่สองนั้นดิฉันพอใจทั้งบุคคลากรและกิจกรรมและรู้สึก ชอบแนวคิดในการดูแลเด็ก เพียงแต่ว่าสถานที่ไม่โล่งโปร่ง เพราะเด็กต้องอยู่แต่ในห้อง บนชั้นสองของตึก กลัวว่าลูกจะปรับตัวลำบาก เพราะนอกจากต้องปรับตัวกับคนแปลกหน้า แล้วยังต้องปรับตัว ให้เข้ากับสถานที่ที่ต้องอยู่แต่ในห้องทั้งวันอีกด้วย
คุณลุงใหญ่คิดว่าเราควรจะให้ความสำคัญด้านไหนมากกว่ากันดีคะ

แม่มานี



ตอบคุณแม่มานี

คุณลูกสาวอายุจะ 2 ขวบแล้ว อยู่กับคุณตาคุณยายที่ต่างจังหวัด คุณแม่อยากจะ นำมาอยู่ Nursery ในกรุงเทพ คุณแม่ได้ไปสังเกตสถานที่เนอส เซอรี่มาแล้ว กำลังสนใจ เลือก 2 แห่งสุดท้าย น่าจะเป็นแห่งใด?

จากภูมิหลังของลูก เคยอยู่ในที่โล่งกว้าง อิสระ และอบอุ่นกับคุณตาคุณยายในชนบท เข้าใจ ว่าเขาคงมีความสุขอย่างมาก และคุณตาคุณยายก็มีความสุขที่ได้เลี้ยงดูหลานรัก โดย ธรรมชาติของคนมีอายุสูง ก็เสมือนได้ "สมบัติที่มีค่า" คือได้ดูแลหลานแทนลูกของตน เป็นการชดเชยกันทางด้านจิตใจและอารมณ์ ดังนั้น การที่จะแยกหลานมาจากคุณตาคุณยาย ท่านทั้งสองก็คงคิดถึงแย่อยู่ระยะหนึ่งเหมือนกัน ต้องนำลูกมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ

ส่วนคุณลูกสาวก็ต้องปรับตัวระยะหนึ่งแน่นอน เพราะต้องจากที่ ที่เคยมีความอบอุ่น, ความสุข สนุก มาก่อน มาเจอที่ใหม่ ผู้คนใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่ อย่าว่าแต่เด็กเลย แม้ผู้ใหญ่ยัง ต้องปรับจิตปรับใจเหมือนกัน

สิ่งที่พึงกระทำประการต้นๆ ก็คือ เมื่อตัดสินใจเลือกสถานที่ใดแน่นอนแล้ว ก็ใช้ขั้นตอน สร้างความคุ้นเคยกับสถานที่ - คุณครู - เครื่องเล่นของเล่น - เพื่อนใหม่ ก่อนสัก 2-3 วัน โดยคุณแม่, พี่เลี้ยง, หรือบุคคลใดในบ้านพามาให้เขาคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ คุณแม่ก็คุย กับครูใหญ่ - หรือผู้ดูแล เพื่อให้ลูกเห็นบุคคลเหล่านี้เป็นผู้คุ้นเคยกับคุณแม่ ไม่ใช่คน แปลกหน้าที่ไหน อย่างนี้ก็จะช่วยให้ลูกวางใจได้เร็วยิ่งขึ้น เมื่อสร้างความคุ้นเคยสัก 2-3 วัน ดังกล่าวแล้ว ก็เบาใจได้หน่อย

ช่วงส่งตัววันแรกๆ เขาก็คงยังจะร้องไห้ ก็ต้องปลอบใจว่า ลูกอยู่กับครู (ชื่อ……) นะ, คุณ แม่ไปทำงาน แล้วจะมารับ แม้ลูกจะร้องก็ต้องทำใจและแยกตัวออก โดยทั่วไป ถ้าลูก ไม่ร้องก็โชคดีมาก แต่ถ้าร้องก็ไม่ต้องห่วงนัก เนื่องจากสร้างความคุ้นเคยไว้แล้วดัง กล่าว

ส่วนความเห็นสุดท้าย สถานที่ Nursery ใดดี?

1) ด้านบรรยากาศ ที่โล่ง กว้าง สะอาด มีผู้ดูแลหลายคน มีที่วิ่งเล่น, สนาม, น่าจะสอด คล้องกับบรรยากาศเดิมของเขา น่าจะปรับตัวได้เร็วกว่า

2) พฤติกรรม กิจกรรม ที่สถานรับเลี้ยงเด็กอ่อนจัดให้ ส่วนใหญ่ก็คล้ายๆ กัน โดยมี ผู้ดูแลซึ่งจะต้องได้รับการเรียนรู้ อบรมมาแล้ว จึงคิดว่า ทั้ง 2 ที่ใช้ได้แน่ เพราะคุณ แม่ก็ได้ดูและเปรียบเทียบมาแล้ว

3) สถานที่ ใกล้ที่ทำงานคุณแม่ น่าจะดีที่สุด สะดวกที่สุด สบายใจที่สุด

อ.จำรูญ





back




visit our sponsor
visit our sponsor


Home | ข่าวสุขภาพ | การตั้งครรภ์-การคลอด | การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ | ทารกแรกเกิด - ๑ ขวบ
เด็กวัย ๑-๕ ขวบ | Working Mom | การเงินในครอบครัว | สาระน่ารู้ภายในบ้าน | Dad's Corner


maeaom@hotmail.com
Thaiparents.com 2000
All rights reserved